

เพราะตามที่คุณสมบัติต่างๆ ที่ได้และสวัสดิการของอาชีพนักบิน และอีกเหตุผลหนึ่งคือ มีบุคคลหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเจริญรอยตาม คือ กัปตัน สรเดช นามเรืองศรี กัปตันบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บุรุษสายเลือดอุบลฯ แต่เติบโตที่กรุงเทพฯ คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับอาชีพนักบิน งานที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเป็น แต่สิ่งที่ได้มามิใช่มีผู้หยิบยื่นให้อย่างง่ายดาย หากแต่มาจากความสามารถและความตั้งใจที่ไม่เคยแผ่ว บวกกับความขยันและรักในการเป็นนักบินด้วยใจจริง เมื่อได้อ่านประวัติของกัปตัน ทำให้ผมมีความคิดที่จะทำฝันให้เป็นจริง ด้วย
ส่วนนี่คือคำพูดของกัปตัน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผม “ด้วยความที่คุณพ่อเป็นทหารอากาศ ผมเห็นคุณพ่อแต่งเครื่องแบบ ผมก็อยากใส่บ้าง ดูมันเท่มาก ตอนเด็กๆ บ้านพักเราอยู่ใกล้สนามบิน ผมก็เห็นเครื่องบินขึ้น-ลงตลอด ตั้งแต่นั้นผมก็ฝันอยากจะเป็นนักบิน ตอนนั้นผมตั้งใจมาก ผมเริ่มจากเข้าสาธิตจุฬาฯ ตั้งแต่ ป.1 – มศ.3 ตอนนั้นผมตัวเล็กๆ คิดในใจว่าเราจะไปไหวไหม เพราะเป็นคนขี้โรคด้วย แต่ก็ตั้งใจว่าจะพยายาม พอจบ มศ. 3 ผมลองไปสอบเข้าเตรียมทหาร และเตรียมอุดม ปรากฏว่าได้ทั้ง 2 ที่ แต่ผมไม่ไปเตรียมอุดม รอสอบต่อรอบสองเตรียมทหารปรากฏว่าผ่านหมด ก็เลยได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร พอเข้ามาเขาก็ให้เลือกเหล่า ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศหรือตำรวจ ผมเห็นเครื่องบินตั้งแต่เด็ก ก็เลยเลือกทหารอากาศ กะว่าซักวันจะต้องเป็นนักบินขับไล่ให้ได้ ตอนนั้นมันฮึกเหิมและมันเท่ เราก็เลยเรียนเตรียมทหาร 2 ปีและแยกเหล่ามาเรียนนายเรืออากาศอีก 5 ปี แต่อีกใจก็อยากเป็นวิศวกรโยธา พอดีเขาเปิดสาขาวิศวกรรมโยธารุ่นแรกของโรงเรียนนายเรืออากาศ ผมก็เลยเรียนจนจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโยธา แล้วเข้าเป็นศิษย์การบินของกองทัพอากาศที่โรงเรียนการบินกำแพงแสน โดยกองทัพอากาศเป็นผู้ออกทุนให้จนสำเร็จการศึกษาเป็นนักบินของกองทัพ
“คุณสมบัติของนักเรียนทุนก็คือต้องเรียนเก่ง เพราะต้องสอบแข่งกัน ผู้ที่จะเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารสมัยนั้นจำได้ว่า 10,000 กว่าคนเอา 500 คน แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันน่าจะสูงขึ้น ผมเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 19 และเลือกเรียนต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ เพราะอยากเป็นนักบิน พอจบปุ๊บก็ติดยศเรืออากาศตรี เงินเดือนสมัยนั้น 2,750 บาท และก็ไปเรียนที่โรงเรียนการบินกองทัพอากาศอีก 1 ปี ฟรีทั้งหมด ตอนเรียนก็แบ่งเป็นสายไอพ่นกับสายใบพัด สายไอพ่นเขาจะเอาคนที่บินดีและคะแนนดี ผมก็เลยเลือกสายไอพ่น เมื่อสำเร็จการศึกษาก็บรรจุเป็นนักบินประจำกองสังกัดกองบิน1 นครราชสีมา เริ่มต้นบินจากเครื่องบินไอพ่นฝึกหัดแบบ T33 จากนั้นเป็นนักบินขับไล่เต็มตัว ทำการบินกับเครื่องบินแบบ F-5 A/B, F-5 E/F จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกให้มาบินแบบ F-16 A/B ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพอากาศ ”
“คุณสมบัติของนักเรียนทุนก็คือต้องเรียนเก่ง เพราะต้องสอบแข่งกัน ผู้ที่จะเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารสมัยนั้นจำได้ว่า 10,000 กว่าคนเอา 500 คน แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันน่าจะสูงขึ้น ผมเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 19 และเลือกเรียนต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ เพราะอยากเป็นนักบิน พอจบปุ๊บก็ติดยศเรืออากาศตรี เงินเดือนสมัยนั้น 2,750 บาท และก็ไปเรียนที่โรงเรียนการบินกองทัพอากาศอีก 1 ปี ฟรีทั้งหมด ตอนเรียนก็แบ่งเป็นสายไอพ่นกับสายใบพัด สายไอพ่นเขาจะเอาคนที่บินดีและคะแนนดี ผมก็เลยเลือกสายไอพ่น เมื่อสำเร็จการศึกษาก็บรรจุเป็นนักบินประจำกองสังกัดกองบิน1 นครราชสีมา เริ่มต้นบินจากเครื่องบินไอพ่นฝึกหัดแบบ T33 จากนั้นเป็นนักบินขับไล่เต็มตัว ทำการบินกับเครื่องบินแบบ F-5 A/B, F-5 E/F จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกให้มาบินแบบ F-16 A/B ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพอากาศ ”